จุดประสงค์
      1.ศึกษาเกี่ยวกับความรู้เรื่องมารยาทไทย
      2.ศึกษาและวิเคราะห์เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณที่จางหายไป
      3.ศึกษาลักษณะทั่วไปของเรียงความเกี่ยวกับโลกสาธารณะ
      4.ศึกษาลักษณะการแต่งร่ายสุภาพ
      5.รณรงค์ให้นักเรียนในโรงเรียนตราษการคุณมีมารยาทที่ดีขึ้น

    

          วัฒนธรรมการไหว้และมารยาทของไทย

               การไหว้ คือ การที่มือสองข้างประณม นิ้วชิดกัน ปลายนิ้วจรดกไม่แยกปลายนิ้วออกจากกันยกมือขึ้นในระดับต่างๆ ตามฐานะของบุคคลการไหว้ แบ่งออกเป็น ๔ อย่าง

                                                        wai

        ๑. ไหว้พระ  ยกมือที่ประณมขึ้นจรดหน้าผาก ให้ปลายนิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ให้ปลายนิ้วชี้จรดตีนผม

                                                        wai1

        ๒. การไหว้ผู้ที่เคารพนับถืออย่างสูงและผู้มีพระคุณ เช่น พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ไหว้บิดามารดา ครู อาจารย์ยกมือที่ประณมขึ้นจรดส่วนกลางของหน้า ให้ปลายหัวแม่มือจรดปลายจมูกให้ปลายนิ้วจรดระหว่างคิ้ว ค้อมตัวลงอย่างอ่อนน้อมและก้มศีรษะเข้าหาปลายนิ้h

                                                          wai2

         ๓. การไหว้ผู้อาวุโสทั่วไป   ไหว้ผู้ที่เคารพทั่วๆไปยกมือที่ปรณมจรดส่วนล่างของใบหน้าให้ปลายหัวแม่มือ จรดปลายคาง ให้ปลายนิ้วชี้จรดปลายจมูก ค้อมตัวและก้มศีรษะเข้าหาปลายนิ้วชี้พองาม

 

                                                       wai3

        . การไหว้ผู้เสมอกัน  ไหว้ผู้ที่เสมอกัน ไม่ต้องยกมือที่ประณมขึ้นจรดหน้า เพียงแต่ยกมือที่ประณมขึ้นนิดหน่อย ประนมมือให้ปลายนิ้วชี้จรดปลายจมูก ไม่ต้องก้มศีรษะ หรือก้มศีรษะพองาม โดยไม่ต้องค้อมตัว  เมื่อมีผู้ทำความเคารพด้วยการไหว้ ต้องรับไหว้ทุกครั้ง การรับไหว้ใช้ประณมมือแค่อก แล้วยกขึ้นเล็กน้อย ก้มศีรษะ

 

การกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์
             หมายถึง การที่ให้อวัยวะทั้ง ๕ คือ เข่าทั้งสองมือทั้งสอง และหน้าผากจรดพื้น ก่อนกราบจะอยู่ในท่าเตรียมโดยปฏิบัติดังนี้
             - ท่าเตรียมกราบ (ชาย) หรือท่าเทพบุตร นั่งคุกเข่าปลายเท้าตั้ง นั่งบนสันเท้า มือทั้งสองวางบนหน้าขาทั้งสองข้าง
             - ท่าเตรียมการ (หญิง) หรือท่าเทพธิดา นั่งคุกเข่าปลายเท้าราบ นั่งบนสันเท้า มือทั้งสองวาง

                                                       wai4

จังหวะที่ ๑ (อัญชลี) วิธีปฏิบัติ
          ยกมือขึ้นประนมระหว่างอก นิ้วทุกนิ้วแนบชิดติดกันหัวแม่มือติดกับนิ้วชี้ ปลายนิ้วเบนออกประมาณ ๔๕ องศา นั่งตัวตรง
                                     wai5

จังหวะที่ ๒ (วันทา) วิธีปฏิบัต
          ยกมือขึ้นพร้อมศีรษะค้อมตัวลงปลายนิ้วหัวแม่มือจรดระหว่างคิ้ว ปลายนิ้วชี้แนบหน้าผาก

                                                    wai6

จังหวะที่ ๓ (อภิวาท) วิธีปฏิบัต
          - (ชาย) ทอดมือลงกราบพร้อมกันทั้ง ๒ มือ
มือคว่ำห่างกันพอให้หน้าผากจรดพื้นได้ วางศอกทั้ง ๒ ข้าง ต่อจากเข่าขนานไปกับพื้น หลังไม่โก่ง
          - (หญิง) ปฏิบัติเหมือนกับชายต่างกันที่ให้แขนทั้งสองข้างคร่อมเข่าเล็กน้อย

 

           เรียงความเกี่ยวกับโลกสาธารณะ

                               

         

         หลายร้อยปีที่ผ่านนานหนักหนา                    ประเทศไทยก้าวหน้าไม่สูญสิ้น
มีรอยยิ้มบนใบหน้าเป็นอาจิณ                             ทุกทั่วถิ่นขนานนามงามน้ำใจ
        
         เอกลักษณ์ของไทยไปทั่วโลก                        ไม่มีโศกมีรอยยิ้มพิมพ์สดใส
ยกมือไหว้ยามมาและลาไกล                                นี่นิสัยคนไทยแท้อย่าแชเชือน

         เคารพคนให้ความรู้ครูผู้สอน                        พึงสังวรณ์นอบน้อมหาใดเหมือน
หมั่นดูแลพ่อแม่ท่านอย่าลืมเลือน                          เปรียบเสมือนมณีแก้ววับแววงาม

         คนไทยรักในหลวงหวงประเทศ                     ทุกขอบเขตแดนดินถิ่นสยาม
เป็นศูนย์รวมดวงใจไทยทุกนาม                             พ่อสยามองค์เทิดไท้ในใจเรา

         ไทยไม่เคยตกเป็นทาสชนชาติไหน                 จงภูมิใจความเป็นไทยอย่าอายเขา
มีวัดเป็นเอกลักษณ์มานานเนา                               คอยยึดเอาใจเราหลอมออมความดี

 

          ประเทศไทย   เป็นดินแดนที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย  บรรพบุรุษของเราได้เสียสละ  ซึ่งเลือด  เนื้อ  และชีวิต  เพื่อปกป้องผืนแผ่นดินนี้ให้คงอยู่ นับรุ่นแล้วรุ่นเล่า และดำรงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชของชาติ  สืบทอดมานานเท่านาน  มีความอุดมสมบูรณ์  ดังคำกล่าวขานที่ว่า  “ในน้ำมีปลาในนามีข้าว”   ประเทศไทยมีวัฒนธรรม  ประเพณีที่ดีงามและมีความสำคัญเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง  เอกลักษณ์ของไทยที่เป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก  คือการยิ้มและการไหว้ จนได้สมญานามว่า “สยามเมืองยิ้ม”  นั่นก็เป็นเพราะสังคมไทย  เป็นสังคมแห่งพระพุทธศาสนา  เป็นสังคมแห่งการเอื้ออาทร  เป็นสังคมแห่งการสร้างสันติสุข  ประนีประนอมซึ่งกันและกัน  มีการยิ้ม  การไหว้  การนอบน้อม  ถ่อมตน  เป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามปฎิบัติสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจนเคยชิน  นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน  ทั้งนี้วัฒนธรรมอันดีงามเหล่านี้ยังเป็น สิ่งที่คอยเชื่อมโยงจิตใจของประชาชนชาวไทยให้อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข

 

          ปัจจุบัน คนในสังคมไทยมีความคิดเห็นที่เปลี่ยนไปจากอดีต  เริ่มเกิดค่านิยมใหม่ๆ  จากหลายสาเหตุ  ไม่ว่าจะเป็นการที่คนไทย ยึดแบบอย่างจากต่างชาติมากจนเกินไป  หรือ การที่ชาวไทยเองไม่เห็นถึงความสำคัญของวัฒนธรรม  ประเพณี  และมารยาทของตน  ”การยิ้ม  การไหว้  การนอบน้อมถ่อมตน”  สิ่งเหล่านี้จะถูกมองว่า  ไม่มีคุณค่า  คิดว่าการกระทำสิ่งเหล่านี้จะทำให้ลดค่าของตัวเองลงจากสังคม ซึ่งส่วนใหญ่ความคิดนี้จะเกิดกับผู้ที่ยกย่องตัวเองเป็นชนชั้นสูง  ร่ำรวยการศึกษาสูง  จนไม่สามารถก้มหัวให้ใครได้โดยเฉพาะผู้ที่มีฐานะทางสังคมถึงจะหัวหงอกขาวโพลนแล้วก็ตาม    ไม่เพียงแค่นั้นการทักทายของคนไทย "สวัสดีครับ  สวัสดีค่ะ" ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก โดยเฉพาะ"การไหว้" ที่ไม่ค่อยถูกนำมาปฏิบัติ ตามแบบอย่างขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของไท​ย การกล่าวว่า "สวัสดี ครับ - สวัสดีค่ะ" มิใช่เพียงแค่กล่าวทักทายด้วยวาจาเท่านั้น แต่ควรมีการยกมือไหว้ประกอบไปด้วยเพื่อ แสดงถึงความมีสัมมาคารวะ และการให้เกียรติซึ่งกันและกัน  นอกเหนือจากนั้น "การไหว้" ก็มิใช่เพียงแค่ เพื่อการทักทายเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการแสดงออกถึง "การขอบคุณ" และ "การขอโทษ" ได้ด้วย เช่นกัน เพราะฉะนั้น "การไหว้" จึงเป็นอากัปกิริยาและการแสดงออกถึง "มิตรภาพ - มิตรไมตรี" ที่มีรากฐานของการมี "วัฒนธรรมสูง" และ "สมบัติผู้ดี"  ที่บุคคลที่เจริญแล้วพึงแสดงออกต่อกัน
          นอกจากนั้นคนไทยทุกคนคงทราบกันดีว่าประเทศไทยของเราได้รับสร้างความประทับใจจากรอยยิ้มให้แก่ผู้มาเยือนมาเป็นเวลาช้านาน  ชาวต่างชาติจึงได้ให้ประเทศไทยเป็น“สยามเมืองยิ้ม”หรือ“ยิ้มสยาม”เพราะเห็นว่าคนไทยเป็นคนยิ้มเก่งยิ้มง่าย  หลายครั้งที่สื่อภาษากันไม่ค่อยเข้าใจแต่คนไทยก็จะยิ้มไว้ก่อนเสมอทำให้อีกฝ่ายรู้สึกอบอุ่นใจว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้วยน้ำใจไมตรีที่ดีอย่างแน่นอนมาถึงปัจจุบัน คนไทยเริ่มจะยิ้มน้อยลงสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะสภาพเศรษฐกิจที่ต่างคนต่างต้องรีบเร่งทำมาหากิน ตื่นแต่เช้ามืดออกไปทำงานและกลับบ้านมืดค่ำ เครียดจากการทำงาน  จึงไม่มีเวลายิ้มให้กันหรือหยอกล้อกัน ทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น ยิ้มไม่ออกไม่เห็นความสำคัญของการยิ้ม มองว่าการยิ้มเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ถ้าเราได้ยิ้มวันละนิด จิตใจของเราก็จะแจ่มใสสบายทั้งกายและใจ การยิ้มเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อคนเรา ทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตเมื่อเปรียบเทียบการยิ้มกับการแสดงสีหน้าแบบอื่น เช่น โกรธ เศร้า เคร่ง ขรึม วิตกกังวล ฯลฯ จะพบว่าการยิ้มใช้กล้ามเนื้อใบหน้าน้อยกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นมาก  การยิ้มจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า ใช้พลังงานน้อยกว่าและทำให้ใบหน้าดูดีกว่าการแสดงสีหน้าแบบอื่นๆ ด้วย
ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยอันดีงามนับวันจะค่อยๆเลือนรางออกไปจากสังคมไทย   โดยวัฒนธรรมตะวันตกค่อยๆครอบงำสังคมไทยมากยิ่งขึ้น    ทั้งนี้ คงมิใช่สังคมไทยถูกครอบงำจากวัฒนธรรมตะวันตกเ​พียงอย่างเดียวก็เป็นได้  คนไทยอาจจะเข้าใจผิดหรือละเลยกับการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีอ​ันดีงามของไทย หรืออาจจะเลยเถิดไปจนลืมหรือไม่มีความรู้แต่ประการใดก็​เป็นได้เช่นเดียวกัน  ในสังคมไทยยุคปัจจุบันหากพิจารณาดูแล้วจะพบว่าเป็นสังคมฝรั่งก็ไม่ใช่สังคมไทยก็ไม่เชิง ในช่วงระยะเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าคนไทย  "ไม่ไหว้และไม่รับไหว้กัน”  กล่าวคือ เวลาพบกันหรือแนะนำกันจะใช้วิธีวัฒนธรรมตะวัน​ตก หากไม่เช็กแฮนด์จับมือกันก็พยักหน้าต่อกันหรืออีกนานาวิธี แต่ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ "ไม่ยกมือไหว้" กันแล้วยัง "ไม่มีการรับไหว้" กันอีก เมื่อ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยกมือไหว้ก่อน มีแต่เพียงอาการผงกหัวหรือพยักหน้าตอบรับเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นการไร้มารยาทอย่างสิ้นเชิง เพราะการไหว้เป็นการแสดงออกถึง "ความเคารพ  คารวะ นับถือ ขอบคุณ"   ที่เปี่ยมไปด้วยความเต็มใจจาก "ผู้ไหว้" ที่ต้องการแสดงออก
          นอกเหนือไปจากการได้รับการกล่อมเกลามาจากวัฒนธรรมโบราณของไทย และการอบรมสั่งสอนจากสถาบันสำคัญต่างๆ ในสังคม โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวและสถานศึกษา แต่คงไม่สำคัญเท่ากับ  "อง​ค์รวมของสังคมขนาดใหญ่"  ที่เป็นวัฒนธรรมของไทย ที่มีประวัติศาสตร์ทางสังคมมายาวนานหาก ถามว่าปัญหาสังคมปัจจุบันมักก่อกำเนิดมาจากสถ​าบันครอบครัว และสถาบันการศึกษาใช่หรือไม่  คงจะที่ใหคำตอบได้ชัดเจนไปเลยไม่ได้ เนื่องด้วยต่างครอบครัวก็ต่างวัฒนธรรม ส่วนสถานศึกษานั้นมีความจำเป็นอย่างที่จะก่อรากฐานและพัฒนาสานต่อวัฒนธรรมอันดีงามของไทยให้คงอยู่ยั่งยืนต่อไป จากสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นไปได้ว่า ทั้งสองสถาบันขั้นปฐมภูมิสำค​ัญอาจไม่ "ใส่ใจ สนใจ" และให้ความสำคัญกับการปลูกฝัง "วัฒนธรรมการไหว้" แก่คนรุ่นใหม่ก็เป็นได้พราะฉะนั้นคำตอบที่อาจเป็นไปได้คือทั้งสองสถาบันขั้นปฐมภ​ูมิบกพร่องกับการให้ความสำคัญกับวัฒนธรรม สาเหตุที่สำคับน่าจะมาจากรีบเร่งของสังคมยุคใหม่กอปรกับวัฒนธ​รรมตะวันตก"คืบคลาน  ครอบงำ" พฤติการณ์และพฤติกรรมคนไทยมากขึ้นทุกขณะจน"วิญญาณ​ความเป็นไทย"เกือบจะจางหายไปจาก "จิตสำนึก"คนไทยแล้ว
ปรากฏการณ์สำคัญที่ประสบพบเห็นมานานนับหลายปี กรณี "การไหว้ รับไหว้"ของคนไทยที่ผ่านมา คนไทยปัจจุบันไม่ไหว้กัน และไม่รับไหว้อีกด้วย เมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดทักทายหรือขอบคุณ ทั้งนี้โดย "มารยาท" อันดีงามของ "สมบัติผู้ดี" แล้ว  ดั่งที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการไหว้เป็นการ​แสดงออกถึงการเคารพ สุภาพ นับถือ และการขอบคุณ หรืออีกกรณีคือ"วัยวุฒิ" ซึ่งชาวไทยทุกผู้ทุกนามต้องยึดถือเป็นธรรมเนี​ยมประเพณีปฏิบัติกัน แต่ผู้ที่ถูกไหว้แล้วไม่ไหว้ตอบรับ ไม่ว่าจะเป็นการไหว้ของบุคคลที่อ่อนวัยวุฒิกว่าหรือสถานะทางสังคมต่ำกว่าหรือ​เป็นการขอบคุณ เท่ากับเป็นคน "ไร้วัฒนธรรม" หรือเข้าทำนองประเภท "สำคัญตัวเองผิด" หรือจะให้กล่าวแบบจาบจ้วงว่าเป็น "คนถ่อย" ที่ไม่รู้จักสัมมาคารวะ กิริยามารยาท สมบัติผู้ดี  "การไหว้  ไหว้ตอบรับ"  นั้นเป็นพฤติการณ์และพฤติกรรมที่เราทุกคนต้องอาจเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ในการ​ปลูกฝัง "สมบัติผู้ดี  วัฒนธรรมดีงาม" ให้แก่บุคคลทั่วไป เพื่อให้เป็นการแสดงออกถึง "ภูมิปัญญา  วุฒิภาวะ" และ "กระบวนการเรียนรู้กล่อมเกลา ทางสังคม" ที่บิดา  มารดา ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ พร้อมสื่อทุกแขนงพึงยึดถือเป็นสมบัติสำคัญของ​ชาติในการแสดงออกถึง "ความเป็นผู้ดีแบบไทย " กอปรกับ "วัฒนธรรมอันดีงามประจำชาติไทย" สืบต่อไป
          แม้ว่าประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ยังล้าหลังทางด้านเทคโนโลยีเมื่อเทียบกับ ประเทศที่พัฒนาแล้ว  แต่ประเทศอื่นๆก็ยังให้ความสนใจในวัฒนธรรมความเป็นไทย  และทำการศึกษาฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง  จนอาจกล่าวได้ว่า  ประเทศไทยมีสิ่งล้ำค่าอยู่กับตัวแต่กลับไม่เห็นค่า  ต่างจากชาวต่างชาติที่กลับมองเห็นคุนค่าจากสิ่งที่ชาวไทยมองข้ามไป 
หน่วยงานของรัฐมากมาย ไม่ว่าสำนักงานเอกลักษณ์ไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศ ไทยรวมทั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวกับ "ความเป็นไทย"พยายามรณรงค์อย่างต่อเนื่องถึงค​วามเป็นไทย โดยเฉพาะในช่วงขณะนี้มีการเผยแพร่สารคดีเกี่ย​วกับ "การไหว้ "ที่นอบน้อม สุภาพอ่อนโยน ตลอดจนการ ไหว้ของ "เจ้าบอล" ภารดร ศรีชาพันธุ์ นักเทนนิสชาวไทยที่ติดอันดับโลกสร้าง  ชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ ไม่ว่าได้รับชัยชนะหรือไม่จะไหว้ผู้ชมไปรอบๆ จนสร้างความประทับใจให้แก่ชาวต่างชาติไปทั่วโ​ลกเป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างมาก แม้กระทั่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพร​ะราชดำรัสกล่าวชม  "เจ้าบอล" กรณีไหว้ของภารดรด้วยว่า ได้สร้างเอกลักษณ์ที่ดีงามพร้อมเผยแพร่ไปให้ชาวโลกได้รู้จักการไหว้ของไทย เพราะฉะนั้น "การไหว้" จึงเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยมานานนับร้อยๆปี
          เราชาวไทยควรตระหนักถึงความสำคัญของ  “การไหว้ การยิ้ม”  ร่วมกันรักษาดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทย  ศึกษาแบบแผนการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เหมาะสม  และร่วมกันสืบสาน  ถ่ายทอดความดีงามเหล่านี้ไปสู่คนรุ่นหลัง  เสริมสร้างจิตสำนึก  ปลูกฝังค่านิยมรักความเป็นไทย  แทนความคิดแบบเก่าๆที่ว่า  ขนบธรรมเนียมประเพณีไทยเป็นเรื่องไร้สาระ  ห่างไกลตัว  ก่อนที่แผ่นดินไทยจะไร้ซึ่งวัฒนธรรมที่ดีงามให้ชาวไทยได้ภาคภูมิใจ   ซึ่งวัฒนธรรมนั้นก็เปรียบเสมือนสารอาหารที่หล่อเลี้ยงให้คนไทยมีจิตใจที่เข้มแข็งและสดใส  อีกทั้งยังเป็นดั่งสายใยที่เชื่อมโยงจิตใจของคนไทยไว้ด้วยกัน  สิ่งนี้หากขาดหายไปแล้ว คนไทยก็ไม่ต่างจากผู้ที่ไร้แผ่นดินให้คอยพักพิงอาศัยและไร้ซึ่งความภูมิใจในความเป็นชาติของตน

           บทประพันธ์ ร่ายสุภาพ

           เมืองไทยของเรานี้               มีประวัติอันเนิ่นนาน                 สืบสานวัฒนธรรม
ดำรงไว้คงอยู่                                  เคียงคู่แดนสยาม                     ความงามเป็นเอกลักษณ์
รู้จักไปทั่วโลก                                 ไร้โศกจิตผ่องใส                      ไหว้ยิ้มแสนงดงาม
ลือนามสยามเมืองยิ้ม                     นิ่มนวลสุดนอบน้อม                 ใครพบย่อมถูกใจ
อีกการไหว้เพริศแพร้ว                     สุดจะแคล้วสรรหา                    จริยางามหนักหนา
สืบทอดมาแต่อดีต                          รักษ์จารีตแบบแผน                   สุดแสนภาคภูมิใจ
บัดนี้ไซร้ห่างหาย                            ต่างเสื่อมคลายสำนึก                ความลึกซึ้งมอดมลาย
สูญสลายตามเวลา                         ชาวไทยพาหมางเมิน                เนิ่นนานวันเชือนชา
ต่างมองว่าไร้ค่า                             ไม่รักษาวัฒนธรรม                   สิ่งสำคญล้ำเลิศ
ชูเชิดแดนสยาม                              ถึงยามปัจจุบัน                          กาลผกผันเปลี่ยนไป       
ชาวไทยควรตระหนัก                      รู้จักถึงคุณค่า                            หันกลับมาใส่ใจ 
ในเอกลักษณ์ถิ่นทอง                       ผองไทยจงร่วมใจ                     นำพาไทยผ่านพ้น
จงช่วยเถิดเลิดล้น                            ก่อนสิ้นดินสยาม (อยู่คง)

 

 

สรุปผลการศึกษา

               หลังจากทำการศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล  พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีการประพฤติปฏิบัติตามวัฒนธรรมประเพณี  น้อยลงจากแต่ก่อนมาก  ในเรื่องการไหว้และการยิ้มก็เช่นกัน  สาเหตุก็เพราะว่า  ชาวไทยสมัยใหม่  รับค่านิยมจากต่างประเทศมากจนเกินไป  ชาวไทยไม่ให้ความสนใจในเรื่องการส่งเสริมปลูกฝังจิตสำนึก  ของการรักษาความเป็นไทย  เนื่องจากชาวไทยต่างคิดว่า  วัฒนธรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ  อีกทั้งการดำเนินชีวิตของชาวไทยในปัจจุบันก็เต็มไปด้วยความเคร่งเครียด  และมีปัญหาในด้านต่างๆมากมาย  ทำให้คนไทยละเลยในเรื่องเหล่านี้ซึ่งคนไทยหารู้ไม่ว่า  วัฒนธรรมไทยไม่ว่าจะเป็นการไหว้ การยิ้ม มีผลต่อความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตของชาวไทย  ในหลายๆด้าน  เช่น  การขาดมนุษยสัมพันธ์  ความสามัคคี  ความเอื้ออาทรของคนในสังคม  การที่วัยรุ่นสมัยใหม่มีกิริยาไร้มารยาท  ไม่มีสัมมาคารวะ  ต่อผู้อาวุโส  รวมไปถึงการขาดความรักต่อประเทศชาติหันไปให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมต่างชาติ  ดังนั้น เราลูกหลานชาวไทยควรร่วมกันอนุรักษ์ ดำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทยที่ดีงาม

<<-------หน้าแรก-------->>